ฟูลมาราธอน สอนให้เราแข็งแกร่งขึ้น
เรียบเรียงโดย วสนันทน์ โพธิ์ศรีธนัต
14 Mar 2017
- Shares:
ในวงการโปรสอนกอล์ฟในเมืองไทย ถ้าจะมีการจัดอันดับโปรสอนกอล์ฟที่แข็งแรง สุขภาพดีที่สุด ชื่อ โปรนพคุณ วงศ์หล่อ ต้องมีชื่อติดอยู่ในลำดับต้นๆ อย่างแน่นอน
ความแข็งแรงที่ว่านี้ เราไม่ได้วัดกันที่กล้ามใครใหญ่ ใครยกน้ำหนักได้มากกว่ากัน แต่เราวัดกันที่หัวใจใครแข็งแกร่งกว่ากัน ชื่อโปรนพคุณ ติดอันดับต้นๆ แน่นอน
เพราะการผ่านด่านโหดในวงการวิ่งออกกำลังกาย ด้วยการวิ่งฟูลมาราธอนจบไปแล้วถึง 2 ครั้ง ในกรุงเทพ และภูเก็ตมาราธอน หัวจิตหัวใจย่อมไม่ธรรมดา ซึ่งเท่าที่เราตรวจสอบรายชื่อโปรสอนกอล์ฟที่เรารู้จัก เห็นจะมีคนเดียวที่วิ่งจบมาราธอน 42.195 กม. สำเร็จ วันนี้เรามาสอบถามถึงที่มาที่ไป ของการวิ่งฟูลมาราธอนของโปรนพคุณ
1.เคยคิดมั้ยว่า วันนึงเราจะสามารถวิ่งฟูลมาราธอนได้
โปรนพ
: มาราธอนเป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะวิ่งได้ อย่าว่าแต่ฟูลมาราธอนเลย แค่มินิมาราธอนก็ยังไม่เคยคิดว่าตัวเองจะวิ่งได้ครับ แต่ว่ามีเรื่องบางอย่างที่ทำให้มาวิ่ง สาเหตุก็มาจากคุณเฉลิมวงศ์ ที่ชักชวนเข้ามาวิ่ง จากนั้นก็ขยับไปเรื่อยๆจาก 5 กิโล เป็น 10 กิโล เป็น 21 กิโล เป็น 42 กิโล ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะจบฟูลมาราธอนได้ครับ
เริ่มวิ่งงานแรกเลยคือ 10 กิโลครับ ผมจบด้วยเวลาชั่วโมงครึ่ง จากนั้นก็ซ้อมวิ่ง 10 กิโลไปเรื่อยๆทุกสัปดาห์ทุกเดือน ประมาณ 6 เดือนได้ครับ จากนั้นก็เริ่มลงฮาล์ฟ มาราธอน ที่พัทยามาราธอน ตอนนั้นก็ซ้อมได้ระยะหนึ่งแล้ว จากนั้นก็ตัดสินใจลงฮาล์ฟ มาราธอนเลย หลังจากที่ลงวิ่งมินิมาราธอนมาได้ 3 เดือน ก็ตัดสินใจไปลงวิ่งฮาล์ฟ มาราธอน จบที่เวลาสองชั่วโมงครึ่งกับ ฮาล์ฟ มาราธอนแรกครับ จากฮาล์ฟ มาราธอน ก็ตัดสินใจเลยว่า เราจะไปฟูลมาราธอน อีก 6 เดือนก็ขยับไปฟูลมาราธอนได้ที่กรุงเทพฯมาราธอนครับ นับว่าตั้งแต่เริ่มต้นจากศูนย์เลยที่เริ่มวิ่งใช้เวลาประมาณ 1 ปี กับฟูลมาราธอนแรกครับ
2.เริ่มคิดจริงจังตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเราอาจจะวิ่งมาราธอน
โปรนพ
: เริ่มจริงจังหลังจากจบฮาล์ฟ มาราธอนแรกครับ และก็เริ่มคิดจะท้าทายตัวเองที่จะไปฟูลมาราธอนแรกสักครั้งในชีวิต หรืออาจจะพูดได้เลยว่าเริ่มจริงจังเลยก็ว่าได้ครับ วิ่ง 10 กิโล หรือ 20 กิโล โปรแกรมซ้อมยังไม่โหดมาก เราก็ซ้อมวิ่ง 10 โล 15โล วิ่ง 20 โลได้ แต่ว่าการจะไปฟูลมาราธอนนั้น มันต้องจริงจังมากกว่านั้นก็ตัดสินใจหลังจากฮาล์ฟมาราธอนแรก ก็ตัดสินใจจะต้องลองลงวิ่งฟูลมาราธอนแรกให้ได้ครั้งหนึ่งในชีวิต
3.ตัดสินใจลงมาราธอนก่อนวันแข่งครั้งแรกในชีวิตกี่เดือน
โปรนพ
: ตัดสนใจลงมาราธอนแรกบอกได้เลยว่าไม่ได้คิดอะไรมาก มาจากการชวนของคุณเฉลิมวงศ์ ก็ตัดสินใจลงวิ่งเลยครับ อีกอย่างร่างกายเราก็พร้อมในระดับหนึ่ง เพราะคิดว่าวันหนึ่งเราต้องลงแข่งฟูลมาราธอนอยู่แล้ว ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่เร็วมากครับ จากนั้นเราก็เริ่มมีเป้าหมายแล้วว่าต้องซ้อมเลย ถ้าคิดนานกว่านั้นอาจจะไม่ลงก็ได้ครับ
4.ความรู้สึกระหว่างวิ่งเป็นอย่างไร ตั้งแต่เริ่มออกสตาร์ท มันมีเสียงต่างๆ ที่ออกมาจากสมอง หัวใจเรา อย่างไร
โปรนพ
: ความรู้สึกระหว่างวิ่ง อับดับแรกเลย มีความกังวลมากพอสมควร คือจะเป็นตะคริวตอนไหน จะปวดท้องหรือเปล่า จะปวดขามั้ย ความกลัวความกังวลมันมาตลอด แต่ด้วยบรรยากาศที่พาเราไปด้วยครับ คนเยอะๆ ทำให้เรารู้สึกฮึดสู้ เราก็วิ่งไปเรื่อยๆ ความรู้สึกคือเหมือนเราพยายามคิดตลอดเวลา คิดทีละโลๆ ไปเรื่อยๆเก็บไปเรื่อยๆทีละโล จากนั้นพอเครื่องเริ่มติดแล้ว มันก็วิ่งไปได้เรื่อยๆ ความกังวลอะไรต่างๆนานามันก็เริ่มค่อยๆหายไป และก็วิ่งด้วยความกังวลที่น้อยลง ก็เริ่มดีขึ้นครับ ยังงัยมันก็ต้องวิ่งให้จบเพราะเราซ้อมมาอย่างดีแล้วครับ
5.ช่วงกม.ไหนที่เป็นจุดที่เหนื่อยที่สุด ท้อที่สุด แล้วเราจัดการกับความู้สึกเหนื่อย ท้อนั้นอย่างไร
โปรนพ : จุดที่เหนื่อยที่สุดและท้อที่สุดคือ หลังจากวิ่งไปได้ 30 กิโลไปแล้วครับ ของผมตอนนั้นวิ่งไปได้ประมาณ 32 กิโลไปแล้วเริ่มเป็นตะคริวครับ เราก็หมดแรงที่จะก้าวไป แต่ละก้าวที่ออกไปมันเหนื่อยมากๆ โอเค พอเราเริ่มรู้แล้วว่าไม่ไหวก็จะประคองตัวเองให้วิ่งช้าลง อาจจะมีวิ่งสลับกับเดินบ้าง แต่ว่าฟูลมาราธอนแรกมันมีคัดออฟที่ 6 ชั่วโมง ฉะนั้นแล้วถ้าเราเดินแบบนี้อยู่ไม่เข้าแน่นอน มันต้องเกือบๆ 6 ชั่วโมงครึ่งแน่นอน ก็เลยต้องวิ่งๆต่อไป ก็ต้องฝืนวิ่งไปทั้งๆที่เจ็บ เพราะไหนๆเราก็มาแล้ว เราจะไม่ยอมเข้าหลังคัดออฟ 6 ชั่วโมงแน่นอนครับ เพราะเราซ้อมมาแล้วตั้ง 4-5 เดือน อย่างน้อยๆมันเป็นการขอพิสูจน์เรื่องของจิตใจ ใจเราก็อยากไปให้ถึง แต่ร่างกายเรามันไม่ได้แล้ว เหมือนชนกำแพงเลยครับ ตรงนี้เองครับที่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของการพิสูจน์ด้านจิตใจ เหมือนเราทำงานแล้วเราท้อไม่ไหวแล้ว แต่มันต้องไปต่อไง เหมือนกับมาราธอนมันต้องไปให้ถึงเส้นชัย มันหยุดไม่ได้ ถ้าเราหยุดเลย แล้วทุกอย่างที่ซ้อมมา 4-5 เดือนนั้นหล่ะมันคืออะไร ผมคิดว่าใจเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะผลักดันเท้าเราให้วิ่งต่อไปได้มันอยู่ที่ใจจริงๆครับ
6.ความรู้สึกตอนเข้าเส้นชัย
โปรนพ
: ตอนเข้าเส้นชัยเป็นอะไรที่พีคมากๆครับ เพราะว่าเห็นพี่ซิ่งอยู่ไกลๆแล้ว อยู่สักประมาณ 300 เมตรแล้วเวลาตอนนั้นผมจำได้เลย 5 ชั่วโมง 59 นิดๆ เพราะตอนนั้นเราเหลือเวลาไม่กี่นาทีเพื่อที่จะวิ่งเข้าเส้นชัย แล้วคิดว่าที่เราทำมากว่า 40 กิโลมันจะไม่มีความหมายเลยถ้าเราไม่สามารถที่จะเข้าเส้นชัยได้ตามเวลาที่กำหนด คือตอนนั้นอย่างที่บอกครับเราประคองตัวเองได้ไปในระดับนึงแล้ว ว่าจุดเจ็บมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นดูจากเวลาและระยะทางที่เหลืออีก 200เมตรเอง ผมเริ่มสปีดเลยครับใส่สุดแรงที่เหลืออยู่ เพราะมันเหลือเวลาอยู่ไม่กี่วิ ถ้าเราสปีดมันก็ทันแน่นอนครับ จำได้เลยพอเข้าเส้นใจแล้ว พี่ซิ่งรออยู่ที่เส้นชัยแล้ว ผมนี่น้ำตาไหลไม่รู้ตัวเลยครับ มันออกมาเองโดยไม่รู้ตัว ดีใจกับตัวเอง ที่เราทำได้แล้วนะ น้ำตามันไหลออกมาแบบเรากลั้นไม่อยู่จริงๆ มันเป็นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติของเราเองที่ว่าเราทำได้แล้ว เราชนะใจตัวเองได้เราทำได้นะ มันเป็นความรู้สึกที่หาซื้อไม่ได้ ความรู้สึกที่หาไม่ได้จากที่อื่น เราประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราตั้งใจ และตั้งความหวังไว้ครับ ทำให้เรารู้เลยว่า ถ้าเราพยายามจริงๆเราก็ทำได้
7.เล่าให้คนที่ไม่เคยสัมผัสว่า เส่นห์ของฟูลมาราธอนคืออะไร
โปรนพ
: เส่นห์ของฟูลมาราธอน คือเราไม่ต้องไปแข่งกับใคร เป็นการแข่งกับตัวเองมากกว่าครับ เราก็วิ่งไปเรื่อยๆตามกำลังของเรา ตามโปรแกรมที่เราวางไว้ และอีกอย่างที่เป็นเสน่ห์ ทุกคนที่มาวิ่งจะคอยเป็นกำลังใจให้กันเสมอ สู้ สู้ นะ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว เป็นอะไรที่น่ารักมาก เราไม่รู้จักเค้า เค้าก็ไม่รู้จักเรา แต่ทุกคนส่งเสียงเชียร์และให้กำลังใจตลอดทาง ซึ่งตรงนี้เป็นอะไรที่น่ารักมากๆครับ
8.ลองเชิญชวนคนที่เรารักให้ออกมาวิ่ง
โปรนพ
: จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้คนเริ่มหันมาวิ่งกันเยอะมากขึ้น มีงานวิ่งทุกสัปดาห์ อยากให้ลองค่อยๆขยับกันดูจากวิ่งมินิเสร็จ มาเป็นวิ่งฮาล์ฟ แล้วค่อยๆมาวัดใจกันกับฟูลมาราธอน คือลงแข่งไปเลยครับ พอเราตัดสินใจแล้ว เราก็จะเริ่มวางแผนโปรแกรมการซ้อมแล้วว่าจะจัดการกับตัวเองอะไรอย่างไง แล้วคุณก็จะทำได้เองเหมือนอย่างที่ผมผ่านจุดนั้นมาแล้วครับ
สำหรับผม ฟูลมาราธอน มันสอนให้เราแข็งแกร่งขึ้น มันสอนทำให้เราสู้มากขึ้น มันสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ทุกอย่าง สำหรับผมนะ ผมคิดว่าการวิ่งจบฟูลมาราธอนแล้วเนี่ย เวลาเรามาทำเรื่องอื่นในชีวิตแล้ว รู้สึกว่ามันง่าย มันอาจจะไม่ง่ายไปเสียหมดแต่เรารู้สึกว่าเราทำได้ เพราะว่าอย่างฟูลมาราธอนเนี่ย ตอนแรกคิดว่าโคตรยากมากเลย แต่เราก็ผ่านมันมาได้แล้ว พอมาเป็นเรื่องทำงานหรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่รู้สึกว่าตัวเองพยายามมากขึ้นตั้งใจมากขึ้น ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
การวิ่งเหมือนการผ่อนคลายชีวิต เราไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะไปวิ่งอย่างเดียว แต่เหมือนการได้ไปเที่ยวพักผ่อน เราสามารถเลือกโปรแกรมที่เราจะไปเที่ยวจังหวัดไหนวิ่งที่ไหนดี อย่างนี้เป็นต้นครับ