วิ่งหนีหมอ

เรียบเรียงโดย วสนันทน์ โพธิ์ศรีธนัต

12 Feb 2017
  • Shares:

ยิ่งวิ่ง ยิ่งห่างไกล....หมอ

 

     เชื่อว่าหลายๆ คน พออายุเริ่มมากขึ้น จะเริ่มเป็นห่วงสุขภาพของตัวเอง อาจเป็นเพราะประสบการณ์ การจากไปด้วยโรคภัยไข้ป่วยของคนที่ใกล้ชิด

     หรือประสบการณ์ตรงที่เกิดกับตัวเอง การเจ็บป่วยง่ายๆ แต่หายยากกว่าสมัยยังเด็ก ทำให้บางคนอาจต้องแวะเวียนไปพบแพทย์บ่อยๆ ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยอยากจะพบเท่าไหร่ ถ้าแพทย์นั้นไม่ใช่ญาติ เพื่อน หรือแฟนเราเอง เข้าโรงพยาบาลแต่ละครั้ง เสียทั้งเงิน เวลา แล้วยังต้องนั่งลุ้นว่า จะเป็นโรคอุปทานไปเอง หรือร้ายแรงจริงๆ หว่า

     และถ้าไม่ได้ไปแผนกศัลยกรรมความงามแล้วละก็ เราก็เห็นภาพชวนหดหู่ คนเจ็บป่วย มาหาหมอ ทุกข์ทรมาน โดยเฉพาะที่โรงพยาบาลของรัฐบาล ใครไม่เคยเข้าสัมผัสโรงพยาบาลของรัฐ ลองเข้าไปดู จะเข้าใจถึงความเจ็บป่วยของคนที่มีทุนทรัพย์ไม่มากพอมารักษายังโรงพยาบาลเอกชน.....

     ด้วยเหตุนี้เอง พี่เก๋ หรือ คุณยรรยง ไวว่อง ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขายเทย์เลอร์เมด-อาดิดาส กอล์ฟ พี่ที่น่ารักในวงการกอล์ฟ จึงให้คอนเซปท์ว่า

     หากไม่อยากพบหมอ ก็ให้ออกมาวิ่งกันซะดีๆ....

     จากในอดีตที่พี่เก๋ เคยสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์แบบไม่สุด ไม่เลิก จนพุงโต วันดี คืนดี พี่เก๋ ก็หันมาวิ่งออกกำลังกาย ไม่เพียงแค่นั้น พี่เก๋ยังวิ่งไปไกล จนสามารถพิชิตฟูลมาราธอน ระยะ 42.195 กิโลเมตร ประมาณ 17 รอบสวนลุม ใครเคยวิ่งออกกำลังกายที่สวนลุม ลองคิดตาม 17 รอบสวนลุม...... เรื่องราวความเป็นมาที่พี่เก๋ เปลี่ยนแปลงมาวิ่งออกกำลังกาย เป็นอย่างไร ลองอ่านกันดู....   

1.เคยคิดมั้ยว่า วันนึงเราจะสามารถวิ่งฟูลมาราธอนได้

พี่เก๋ : ไม่เคยคิดเลยเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วนะ จะวิ่งก็แค่ 10 กิโล ตอนนั้นสมัยอยู่บริษัทเก่า จะจัดวิ่งกันเป็นประจำ ก็วิ่งได้ 10 โลก็ประมาณชั่วโมง 40 ก็ไม่น่าเกลียดอะไร วิ่งๆ เดินๆ สนุกๆ ไปตามกำลังและน้ำหนักเราในช่วงนั้นประมาณ 90 กก. เห็นจะได้ จากนั้นมาที่บริษัทอาดิดาส มีโครงการให้พนักงานออกกำลังกาย วิ่งใกล้ๆ บริษัท แถวสวนลุม ก็รวมกลุ่มกันไปวิ่ง มีวิ่งสะสมไมล์ได้รางวัล บวกกับตอนนั้นเจอคุณเฉลิมวงศ์ ชวนไปวิ่ง ออกกำลังกายกัน เป็นอะไรที่ประจวบเหมาะเลย และอีกอย่างถ้าไม่เริ่มวิ่งตอนนั้น ร่างกายมันจะไม่ไหวแล้ว ด้วยอายุและน้ำหนัก ถ้าไม่เริ่มตอนนี้ร่างกายมันจะไม่ไหวได้ ก็เลยตัดสินใจวิ่งก็วิ่งว่ะ ก็ไม่เสียหายอะไร สนุกดี ก็เริ่มวิ่งที่สวนลุมนี้แหล่ะ ค่อยๆวิ่งไปทีละรอบ สองรอบ วิ่งได้สักประมาณสามเดือน จากนั้นก็คุณเฉลิมวงศ์ ก็ชวนลงแข่งวิ่ง มินิมาราธอน ก๊วนเราก็จะมี พี่เก๋ คุณรัก คุณซิ่ง วิ่งงานไทยคม ที่สะพานพระรามแปด เป็นงานแรก แล้วรู้สึกประทับใจและก็สนุกดีมันสดชื่น วิวสวย สดชื่น วิ่งบนทางยกระดับ แปลกดี ชอบๆสนุกดี อากาศก็ดีในตอนเช้าๆ

วิ่งครั้งแรก วิ่งได้  7-8 โล พอวิ่งได้สุดๆกับระยะที่เราได้แล้ว ก็จะเดินๆวิ่งๆ ไปเรื่อยๆจนครบกำหนดของเราเอง ภาพแรกที่เห็นนะ โดนคนแก่วิ่งแซงหน้าเราไปเยอะมาก แปลกดีนะ แต่นั่นเค้าเป็นนักวิ่งมานานกว่าเรา เราต้องยอมรับสภาพร่างกายของตัวเอง แต่ก็รู้สึกเฉยๆนะตอนนั้น เพราะเรารู้ตัวเองงัย อีกอย่างดูเค้าวิ่งกันไปเร็วมากนะ วิ่งไปตามสภาพของร่างกายของเค้า เหมือนเค้าจะรู้ว่าต้องเร็วช่วงไหน ช้าช่วงไหน เค้าจะรู้ระยะของเค้าเองเลย แต่พอหันมาดูตัวเราเอง ทำไมเราวิ่งแล้วเหนื่อยจังว่ะ เหมือนวิ่งไม่ทันเค้าเลย ยิ่งวิ่งยิ่งห่าง มันยังไงว่ะ ตรงนั้เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง เค้าทำได้ แล้วเราก็ต้องทำได้สิ

จากนั้นก็มีการวางแผนการวิ่งอย่างจริงจัง ศึกษาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการวิ่ง สิ่งแรกคือเราต้องมีวินัยมากขึ้น จะซ้อมประจำที่สวนลุม วิ่งได้สักประมาณเกือบปีได้ พี่ก็จะวิ่งฮาล์ฟมาราธอน งานดอกบัวคู่ เมื่อปี 58 ตอนที่วิ่งฮาล์ฟมาราธอนครั้งแรก รู้สึกว่ามันไกลมาก 21 กิโล มันไกลมากๆ ตอนนั้นพี่วิ่งแบบถนอมตัว ด้วยอายุเราด้วย คิดแค่ว่าวิ่งอย่างไรก็ได้ไม่ให้ตัวเองเจ็บตัว ไม่ให้เป็นอันตรายต่อกล้ามเนื้อหัวใจ และไม่ให้ร่างกายเจ็บ ใครจะแซงก็แซงไปไม่สน แต่เราก็จะกำหนดเวลาเราด้วย วันนั้นวิ่งได้ 3 ชั่วโมงก็ตามกำหนด

พี่วิ่งฮาล์ฟมาราธอนได้สองงาน  เราก็จะรู้แล้วว่าร่างกายเราจะวิ่งแบบไหน ที่มันไม่เจ็บ เราวิ่งแบบไม่ได้แข่งกับใคร ไม่ต้องคิดว่าต้องวิ่งให้เร็วกว่าใคร ถึงแม้นว่าการวิ่งได้แซงใครมันเป็นความภูมิใจความสุขเล็กๆน้อยๆ ถึงแม้นว่าการโดนแซงมันจะเป็นการเหยีดหยาบเล็กๆ น้อยๆ ก็ช่างเถอะ แต่สุดท้ายและท้ายสุดแล้ว เราต้องวิ่งให้กับร่างกายให้เจ็บน้อยที่สุด ถนอมร่างกายให้เจ็บน้อยที่สุด พอเริ่มวิ่งได้สองครั้ง มันก็ช่วยเรียกความมั่นใจมาได้เยอะมาก กำลังใจก็เริ่มมา.....

2.เริ่มคิดจริงจังตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเราอาจจะวิ่งมาราธอน

พี่เก๋ : มาจากคำชักชวนของคุณซิ่งอีกครั้ง เราลงกรุงเทพฯมาราธอนกันมั้ยพี่ หลังจากคำชักชวน พี่มีเวลาซ้อมอยู่ 4 เดือน พร้อมการหาข้อมูลความรู้ การเตรียมตัวและปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวกับการวิ่ง ว่าจะต้องซ้อมอย่างไรในเวลา 4 เดือน คือมาราธอน เป็นระยะเวลาที่ต้องเตรียมตัว เตรียมร่างกายซ้อมให้พร้อม ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆจะมาวิ่งเลยไม่ได้ มันมีแค่หัวใจไม่ได้ ร่างกายมันต้องพร้อมด้วย หลังจากเริ่มสมัครแข่งมาราธอนแล้ว และเรามีแผนการซ้อมแล้ว และเริ่มจริงจังกับการค้นหาความรู้และสอบถามจากผู้รู้ ที่มีประสบการณ์ในการวิ่ง แล้วมาวางแผนให้เข้ากับตัวเอง ทำตารางการวิ่ง แต่ละวันต้องวิ่งกี่โล ๆ

ตรงนี้เราได้อะไรรู้มั้ย

การสร้างวินัยให้กับตัวเอง อีกอย่างถ้าไม่เริ่มสร้างวินัยให้กับตัวเองในตอนนี้ มันจะยากแล้ว เพราะด้วยอายุของพี่เอง ถ้าไม่ซ้อมให้ดี มันก็เสี่ยงกับการบาดเจ็บได้ง่ายครับ อาทิตย์หนึ่ง อาจจะวิ่งระยะสั้นบ้าง วิ่งระยะยาวบ้าง ตามตารางที่เราทำไว้ครับ พอถึงวันแข่ง พี่ไม่กังวลอะไรเลย เพราะพี่คิดว่าร่างกายพี่พร้อมแล้ว เราก็ไปลงแข่งด้วยความมั่นใจ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ หลังจากที่เราได้ควบคุมอาหาร การเดื่มแอลกอฮอล์ก็น้อยลง ในระยะ 4 เดือนนั้นแทบจะไม่กินเลย น้ำหนักช่วงนั้นจาก 90 กว่านะ เหลือ 83 โล

และภายในปีนี้พี่ตั้งไว้ว่าอยากจะให้น้ำหนักลงมาอีกสักประมาณ 77 โลประมาณนี้

 

3.ตัดสินใจลงมาราธอนก่อนวันแข่งครั้งแรกในชีวิตกี่เดือน

พี่เก๋ :   4 เดือนครับ พอตัดสินใจลงมาราธอนได้แล้ว ก็หารายการลงแข่ง อันแรกคือ กรุงเทพฯมาราธอน เป็นงานใหญ่ด้วย ได้จังหวะที่พอดีมาก

 

4.ความรู้สึกระหว่างวิ่งเป็นอย่างไร ตั้งแต่เริ่มออกสตาร์ท มันมีเสียงต่างๆ ที่ออกมาจากสมอง หัวใจเรา อย่างไร

พี่เก๋ : ความรู้สึกตอนนั้นเหรอ คิดอยู่อย่างเดียว อย่าหยุดเดิน วิ่งไม่ต้องเร็ว คุมความเร็วของตัวเองให้ได้ คือเราต้องทำตามแผนที่เราวางไว้ให้ได้ วิ่งอย่างไร ในช่วงกิโลไหน จากการฝึกซ้อมของเรา อีกอย่างคือนาฬิกาจับความเร็ว กี่นาทีต่อกิโล เพสไหนต้องควบคุมจังหวะการวิ่งให้ได้ นั่นและสมาธิก็จะอยู่ตรงนั้น จะไม่มีเรื่องอื่นๆ เข้ามากวนใจเราแล้ว เพราะเรามีประสบกาณ์มาแล้วก่อนหน้านั้น เราก็ไม่สนใจอะไร

วิ่งๆๆๆ ไปตามแผนของเราเอง ตรงนั้นความกังวลจะไม่มีแล้ว จะมีแต่ความตื่นเต้น ตื่นเต้นอย่างไร คือว่าเราจะวิ่งจบมั้ย ก็มีบ้างเล็กน้อยเรื่องกังวล แต่ไม่เหมือนช่วงที่วิ่งใหม่ๆนะ ความคิดความกังวลมันมีคือเราจะบาดเจ็บอะไรมั้ย เพราะถ้าเราวิ่งไปไม่บาดเจ็บอะไรแล้ว อย่างน้อยๆ ถ้าเราหมดแรง เราก็ยังเดินต่อไปได้ อย่างน้อยก็ยังเข้าเส้นชัยแน่นอนถ้าเราไม่บาดเจ็บ

 

5.ช่วงกม.ไหนที่เป็นจุดที่เหนื่อยที่สุด ท้อที่สุด แล้วเราจัดการกับความู้สึกเหนื่อย ท้อนั้นอย่างไร

พี่เก๋ เหนื่อยนะมีแน่นอน เริ่มเหนื่อยตั้งแต่กิโลที่ 10 ก็เหนื่อยแล้ว แต่เราต้องไม่ท้อ ต้องพยายามทำตามแผนที่ตัวเองวางไว้ให้จงได้ อย่าหยุดเดินเป็นอันขาด เราวิ่งช้าไม่เป็นไร ขอให้วิ่งเยาะๆ ไว้ พยายามอย่าหยุดเดิน คิดไว้อย่างเดียวว่าอย่าหยุด อย่าหยุด อย่าหยุดวิ่งจนกว่าจะเข้าเส้นชัย เพราะถ้าหยุด แล้วเวลาสตาร์ทใหม่มันจะยาก เพราะฉะนั้นวิ่งช้าไม่เป็นไร ให้ซอยเท้าเยาะๆไปก่อน และพยายามอย่าหยุดเดิน

สำหรับพี่นะ วิ่งไป วิ่งไป คิดไว้ว่าวิ่งไป วิ่งไป แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องเดินอยู่ดีครับ ประมาณ กม.ที่ 30กว่า อย่างที่กลุ่มนักวิ่งเค้าจะมีคำนิยามไว้ว่า ปีศาจ กม. 35  เสมือนว่ากิโลที่ 35 แรงจะหมด จะถอดใจอะไรก็ตรงนั้นเลย เค้าเรียกตรงนั้นว่าจะมาพบกับปีศาจ กม.ที่ 35 แต่สำหรับพี่นะ พี่ว่าไม่ได้เจออะไรมากมายเลย ตรงนั้นที่คนเค้าหยุดๆกันอาจเป็นเพราะมันจะเริ่มเป็นตะคริวเลยมีคนหยุดเดิน แล้วก็รีดขานิดนึง ประมาณสัก 5 นาที ก็วิ่งต่อได้แล้ว อีกอย่างสิ่งที่สำคัญสำหรับพี่คือ การเตรียมพร้อมก่อนการวิ่ง ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อม และเจลพลังงาน อันนี้สำคัญ วางแผนไว้ว่าจะกิน กม.ที่เท่าไหร่ พี่จะวางแผนเอาไว้ว่ากินทุก ทุก 8 กิโล มันจะให้พลังงานที่เร็ว และพี่ก็จะจบตามแผนที่พี่วางเอาไว้ วันนั้นพี่จบมาราธอนแรกที่ 5 ชั่วโมง 55นาที

 

6.ความรู้สึกตอนเข้าเส้นชัย

พี่เก๋ : พี่เข้าเส้นชัยปกติเลยนะ บางทีเห็นคนอื่นเค้าร้องให้ดีใจปลื้ม เย้ กระโดดตัวลอยเลย สำหรับพี่เอาตรงๆเลยนะ พี่ไม่ได้มีความรู้สึกอย่างนั้นเลย คิดเพียงว่า ถึงซะที จริงๆ นะ ถึงซะทีว่ะเรา จะได้ไม่ต้องวิ่งแล้ว ไม่ได้ดีใจว่าสำเร็จอะไรนะ มันเหนื่อยมากๆๆๆ จนไม่มีเวลาไปคิดว่าต้องอะไรอย่างไรเลยนะ มันโล่งใจมากกว่าเราทำได้แล้วนะ ไม่มีดราม่าอะไรเลย พี่ก็สงสัยตัวเองนะ ทำไมไม่เห็นตัวเองเป็นเหมือนอย่างที่คนอื่นเค้าเป็น ดีใจ ร้องไห้ก็มีคนบอกไว้นะ มาราธอนแรกมันจะปลื้มและตื้นตันมากๆ ปลื้มปลิ่มสุดๆ เลย แต่พี่กับไม่เลย ดีใจแค่ว่าถึงแล้วนะ โล่งใจแล้ว ถึงซะทีเรา เหนื่อยชิบหายเลย โครตเหนื่อยเลยเรา

 

7.เล่าให้คนที่ไม่เคยสัมผัสว่า เส่นห์ของฟูลมาราธอนคืออะไร

 

พี่เก๋เอาหลักๆ เลยนะ เพื่อนยุให้วิ่งมากกว่า ก็คิดนะ ถ้าเราแก่กว่านี้ เราจะวิ่งได้มั้ย ตอนนั้นอายุพี่ยังไม่ 50 ก็เลยคิดว่า ก่อน 50 ขอวิ่งก่อนแล้วกัน ปีแรกที่วิ่งน้ำหนักลดเยอะมาก เสน่ห์ของฟูลมาราธอน อยู่ตรงไหน กับตัวพี่นะ พี่คิดว่ามันอยู่ที่ การหาข้อมูล การวางแผน ทำให้ได้ตามแผนที่วางไว้ เรื่องสำคัญที่สุดเลยคือเรื่องของวินัย เราจะมีวินัยเรื่องของการฝึกซ้อมมากขึ้น เรื่องอาหารการกิน เราจะไม่กินแอลกอฮอล์เยอะเหมือนเดิม เลิกกินน้ำอัดลมไปเลย จริงๆ เกี่ยวกับเรื่องของน้ำหนักด้วยนะ

และในเมื่อเราวิ่งฟูลมาราธอนได้แล้ว ต่อไปถ้าเราจะเอาจริงจังกับการวิ่งอีก เราก็ต้องทำได้สิ เพราะมันไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้นะ มันไม่ยากหรือง่ายอย่างที่เราเห็น มันอยู่ที่ใจ ตรงนี้ไงที่มันเป็นความท้าทายมาก พี่ไม่ได้หลงรักการวิ่ง คนอื่นอาจจะมาฟิลลิ่งหนึ่ง พี่มีความรูสึกว่ามาราธอนคือความท้าทายตัวเราเอง  และอีกส่วนหนึ่งต้องขอบคุณคุณเฉลิมวงศ์ด้วย เป็นคนกระตุ้นเรื่องการวิ่งมาก สิ่งหนึ่งก็มาจากเพื่อนจะเป็นคนกระตุ้นให้เราวิ่งตลอด พอเรามีเพื่อนไปวิ่งในแต่ละที่ มันทำให้เราไม่เบื่อ มีคนคุยเรื่องวิ่งไปเรื่อย สนุกดีครับ

 

8.ลองเชิญชวนคนที่เรารักให้ออกมาวิ่ง

พี่เก๋อันดับแรกการวิ่งคือ ได้สุขภาพ  เป็นการดูแลสุขภาพที่มีต้นทุนถูก อุปกณ์ก็ไม่เยอะ ที่วิ่งใน กรุงเทพฯก็มีเยอะมาก ตามสวนสาธารณะต่างๆ สำหรับพี่ การวิ่งคือการดูแลสุขภาพที่ต้นทุนไม่แพง หลักๆ เลยนะคือ วิ่งหนีหมอ คือทำให้ค่าต่างๆในร่างกายเราดีขึ้น รู้สึกกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ความดันก็ดีขึ้น ก็ตั้งเป้าไว้วิ่งอาทิตย์ละ 25โล เดือนละ 100 โล ก็อยากให้ออกมาวิ่งกันนะครับอย่างน้อยๆ เพื่อสุขภาพของเราเอง ยังมีโปรแกรมวิ่งสนุกๆ ให้เราได้วิ่งกันอีกเยอะครับ ลองศึกษาการวิ่งดูนะครับ และที่สำคัญอยากจะฝากเรื่องของการวิ่งที่ถูกวิธีคือ จะช่วยให้เราเหนื่อยน้อยลง วิ่งเร็วขึ้น และที่สำคัญที่สุด ลดโอกาสการบาดเจ็บ วิ่งให้ถูกท่าทาง จะทำให้เราใช้พลังงานที่น้อยลง เหมือนกีฬากอล์ฟถ้าพื้นฐานดีวงสวิงก็ดี ฉะนั้นควรศึกษาท่าทางการวิ่งให้ถูกวิธีก่อน แล้วจะลดอาการบาดเจ็บให้น้อยลงที่สุด

 

สรุปคือ สำหรับพี่ การวิ่ง คือ...  

วิ่งหนีหมอ ครับ

 




SOCIAL SHARES

หากบทความนี้มีประโยชน์กับท่านหรือเพื่อนร่วมก๊วน ฝากกดแชร์ที่เครื่องหมาย F ด้านใต้ข้อความนี้ครับ ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ติดตามอ่านบทความของเรา


COMMENTS

OUR SPONSOR

OUR PARTNERS
  • partner 1
  • partner 2
  • partner 3
  • partner 4
  • partner 5
  • partner 6
  • partner 7
  • partner 8