ALTRA Lone Peak 3.5 รองเท้าเทรล ที่วิ่งถนนดีด้วย
เรียบเรียงโดย เฉลิมวงศ์ บวรกีรติขจร
24 Jan 2018
- Shares:
ALTRA Lone Peak 3.5
เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วผมไปได้รองเท้าวิ่งเทรลโดยบังเอิญที่ร้าน REV RUNNR สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เพราะว่ารองเท้าวิ่งเทรล 2 คู่ที่วางแผนจะเอาไปใช้วิ่งเทรล 100 กม. มันน่าจะสร้างปัญหาเมื่อผ่าน 50 กม.ไปแล้ว คู่หนึ่งพื้นบางไป เวลาเหยียบโดนหินหรือพื้นผิวขรุขระแล้วไปโดนเส้นเอ็นรอบนิ้วโป้งที่เป็นพังผืดอยู่ เจ็บจิ๊ดๆ เลย คล้ายๆ เวลานวดฝ่าเท้าแล้วหมอเอาอะไรมาขูดตรงฝ่าเท้าตรงเส้นตึงๆ เจ็บมาก อีกคู่หน้าแคบไปนิด เวลาวิ่งนานๆ เท้าขยายตัว ขอบนิ้วโป้งซ้ายเสียดสีผนังข้างรองเท้าไปๆ มาๆ มีโอกาสพองได้ ถ้าวิ่งเกิน 50 กม.ไปแล้ว อาจสร้างปัญหาแสบตรงที่พองทนไม่ไหวจนวิ่งไม่จบ
วันที่ไปที่ร้านได้รับคำแนะนำจากน้องเหนียวผู้เชี่ยวชาญเรื่องการฟิตติ้งรองเท้า และเป็นรุ่นน้องผมที่บางมดด้วย โดยมีตัวเลือกให้ 2 รุ่นคือ HOKA ATR 4 หรือ ALTRA Lone Peak 3.5
ผมน่าจะใช้เวลาตัดสินใจนานเป็นชั่วโมง ใส่รองเท้าวิ่งรอบๆ ร้าน และลองกระโดดๆ อยู่หลายที เพื่อทดสอบความนุ่มของพื้นรองเท้า และใส่วิ่งบนสายพานเพื่อเช็คความหนัก กว่าจะตัดสินใจว่า จะลองที่เจ้าตัว ALTRA Lone Peak 3.5 ดูก่อน เพราะถึงจะเอา HOKA ATR 4 ของก็ยังไม่เข้ามาที่ร้าน และเจ้าตัว ALTRA มันก็นุ่มมากๆ นุ่มกว่ารองเท้าวิ่งถนนแบรนด์ดังบางรุ่นที่ผมเคยใช้มาก่อนด้วยซ้ำ
ตอนกลับมาถึงบ้าน แกะกล่องรองเท้าออกมาดู ก็รู้สึกประทับใจรองเท้ารุ่นนี้ตั้งแต่ยังไม่ได้ใส่ลองวิ่งด้วยซ้ำ เพราะว่าภายในกล่องรองเท้ามีคำแนะนำการวิ่งด้านในกล่อง และคู่มือคำแนะนำการวิ่งที่มีเนื้อหาไม่เยอะ แต่เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ในการวิ่งให้ดี และลดอาการบาดเจ็บ ที่สำคัญมันตรงกับเทคนิคการวิ่งที่ผมยืดถือมาตลอดในการวิ่งโดยปราศจากอาการบาดเจ็บมาเป็นระยะทางกว่า 3,000 กม.แล้ว
ถ้าใส่แล้วน่าจะเข้าทางสไตล์การวิ่งเราแน่ๆ
ครั้งแรกที่เอารองเท้ารุ่นนี้ออกไปวิ่งระยะ 50 กม.ที่สวนลุม สัมผัสได้เลยว่า นี่แหละรองเท้าวิ่งเทรลที่มีโอกาสสูงมากที่จะพาผมจบระยะ 100 กม.รายการ The North Face Thailand 100 ได้อย่างแน่นอน
เหตุผลเพราะว่าหลังจบ 50 กม. ยังรู้สึกว่ากล้ามเนื้อขายังสดชื่นอยู่ อาจวิ่งต่อด้วย Pace 7 ต้นๆ ถึงกลางๆ ได้อีกอย่างน้อย 10 กม. แบบยังสบายๆ อยู่
ข้อดีของรองเท้าวิ่งแบรนด์ ALTRA ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของรองเท้าแบรนด์นี้ หลักๆ มี 2 เรื่องคือ
หนึ่งเป็นรองเท้าหน้ากว้าง กว้างแบบเหลือๆ ให้นิ้วเท้าเราสามารถแบเต็มหน้าเท้าได้แบบสบายๆ ไม่โดนบีบรัดหน้าเท้าจนเกร็งหรือเสียดสีจนรองเท้ากัด และเท้าพอง หรือโดดบีบรัดจนนิ้วเบียด เกิดการเสียดสีระหว่างง้ามนิ้ว
สองคือ เทคโนโลยี Zero Drop™ ออกแบบให้ความสูงจากพื้นของช่วงส้นรองเท้าและปลายเท้าเท่ากัน ซึ่งผู้ออกแบบวิจัยมาแล้วว่าจะช่วยทำให้เราสามารถวิ่งด้วยท่วงท่าที่เป็นธรรมชาติได้ และลดแรงกระแทกในแต่ละก้าวที่เราวิ่งได้ด้วย
เท่าที่ผมได้ลองใส่วิ่งระยะ 50 กม.เลย โดยไม่ได้ลองจากระยะน้อยๆ ก่อน พบว่าความกว้างของช่วงหน้าเท้ากว้างจริงๆ กว้างแบบเหลือๆ สบายใจได้เลยว่า ไม่มีอาการเท้ากัด เท้าพองแน่นอน แม้ว่าจะใช้รองเท้าแบรนด์นี้เป็นครั้งแรกก็ตาม
พื้นรองเท้าแบบ Zero Drop ผมให้ความรู้สึกว่ามันสามารถวิ่งแล้วไหลไปเองอย่างเป็นธรรมชาติตามที่ผู้ออกแบบรองเท้านี้บอกไว้จริงๆ ฟิลลิ่งที่ผมสัมผัสได้ คล้ายๆ ว่าพื้นมันจะมีความโค้งจากส้นถึงปลายเท้า เมื่อเราอิมแพ็คในแต่ละก้าว ตัวพื้นนี้จะทำงานคล้ายๆ กับเก้าอี้โยก ความหมายคือ เมื่อเท้าเราลงแตะพื้น โค้งของรองเท้าจะพาให้เท้าเราหมุนไปข้างหน้าและยกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยที่ผมรู้สึกมันไหลลื่นไปเอง ไม่ต้องตั้งใจยกเท้ามากนัก เป็นฟิลลิ่งที่ชอบมากๆ
ข้อดีของ Lone Peak 3.5 ที่ผมชอบมากๆ คือ แม้ว่ารุ่นนี้จะเป็นรองเท้าสำหรับวิ่งเทรล แต่มันกลับให้ความรู้สึกนุ่มมากๆ เวลาวิ่งบนถนน ถึงแม้ว่าดอกรองเท้าจะค่อนข้างแข็ง แต่มันกลับนุ่มได้ ผมลองเอาแผ่น Insole ออก แล้วลองกดพื้นด้านในดู พบว่าพื้นดิบๆ ด้านในที่ไม่มี Insole สอดไว้ กลับนุ่มมากเมื่อเทียบกับรองเท้าอื่นๆ หลายรุ่นที่เคยใช้มา มันจึงทำให้แม้ว่าดอกจะแข็ง แต่ให้ความรู้สึกนุ่มเวลาวิ่ง และสำคัญที่สุดเมื่อดอกพื้นแข็ง พื้นมันก็น่าจะทนทานด้วยสิ ไว้ผมลองวิ่งจนดอกพื้นรองเท้าสึกจนวิ่งไม่ได้แล้ว ดูสิว่ามันจะทำระยะทางได้ทั้งหมดกี่ กม. แล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง
ในความเห็นส่วนตัวแล้ว ผมว่ารองเท้ารุ่นนี้ จัดเป็นรองเท้าเกือบๆ จะแนวไฮบริด วิ่งเทรลดี ถนนได้ และยังใช้เดินป่าที่ต้องตะลุยลงไปในลำธาร เพราะการออกแบบให้สบายระบายน้ำดี แห้งเร็ว เรียกได้ว่า ซื้อคู่เดียวลุยได้ทุกสภาพพื่นผิวเลยครับ น่าใช้จริงๆ